UFABETWINS การจำใจเป็นนักมวยหลังโซเวียตล่มสลายของ “เกนนาดี้ โกลอฟกิ้น”

UFABETWINS การโดนบังคับให้ทำในสิ่งที่ไม่ชอบล้วนเป็นสิ่งที่น่ากระอักกระอ่วนใจ และเมื่อโดนบังคับก็จะพาลให้เราต่อต้านและเกลียดสิ่งนั้นไปโดยปริยาย

อย่างไรก็ตาม นี่คือเรื่องราวที่จะทำให้คุณเข้าใจว่า บางครั้งชีวิตก็ต้องตัดสินกันที่ผลลัพธ์ และตอนสุดท้าย ต่อให้คุณคิดว่าทางสายนี้แย่แค่ไหน แต่ไม่มีใครรู้วาตอนจบนั้นจะล้มเหลวหรือสำเร็จ ? นี่คือเรื่องราวของ “GGG” เกนนาดี้ โกลอฟกิ้น นักชกชาวคาซัคสถาน อดีตแชมป์โลกมิดเดิลเวต 3 สถาบัน กับอดีตที่โหดร้ายในครอบครัวคนเหมืองแห่งจักรวรรดิ์โซเวียตที่ใกล้ล่มสลายและพี่ชายที่เป็นเสาหลักต้องทิ้งอนาคตเพื่อเข้าสู้รบกับศึกที่ประชาชนไม่ได้เป็นคนก่อ

วันที่เขาต้องเริ่มใส่นวมอย่างไม่เต็มใจ เกิดอะไรขึ้นบ้าง และความจำเป็นของชีวิตสามารถผลักดันเราไปได้ไกลแค่ไหน? ติดตามได้ที่นี่ ผู้บาดเจ็บจากจักรวรรดิอันยิ่งใหญ่ บิ๊ก แบร์ เลค คือชื่อเมืองที่แสนสงบในรัฐแคลิฟอร์เนีย ที่แห่งนี้มีบ้านของนักสู้ซ่อนอยู่ มันคือโรงยิมที่ถูกเปิดขึ้นโดยอดีตนักชกชาวเม็กซิกันอย่าง อเบล ซานเซซ ภายใต้ชื่อ “ซัมมิท ยิม” โรงยิมแห่งนี้ไม่ได้ยิ่งใหญ่และมีชื่อเสียงเหมือนกับ ไวลด์ การ์ด ยิม ของ เฟร็ดดี้ โร้ช (เทรนเนอร์ของแมนนี่ ปาเกียว)

แต่ที่นี่ ซานเชซ สร้างนักชกขึ้นมาจำนวนไม่น้อย เขาเคยเป็นเทรนเนอร์ของนักชกระดับแชมป์โลกในยุค 90s มาหลายคนทั้ง มิเกล อังเกล กอนซาเลซ, พอล วาเดน และ นานา โคอาดู ทว่าเมื่อเข้าสู่ยุค 2000 เป็นต้นมา เขาก็ไม่ค่อยได้สร้างนักมวยที่เก่งกาจระดับแชมป์โลกอีกเลย จนกระทั่งการมาถึงของนักมวยสมัครเล่นจากคาซัคสถานคนหนึ่ง ที่เปลี่ยนชีวิตของเขาไปตลอดกาล ซานเชซ มักจะเล่าว่าที่สหรัฐอเมริกา มวยเปรียบเหมือนกับโลกธุรกิจมากกว่าโลกของกีฬา

มีเรื่องราวมากมายที่ซ่อนอยู่ภายใต้การแข่งขัน นักมวยที่เก่งไม่ได้แปลว่าจะได้เป็นแชมป์โลกเสมอไป มันมีมูลค่าบางอย่างที่มากกว่าเรื่องฝีมือ การจะจัดมวยไฟต์ชิงแชมป์โลกสักไฟต์ นักมวยทั้ง 2 ฝ่าย, ค่ายมวย หรือผู้จัดต้องคุยกันแล้วคุยกันอีกกว่าจะหาจุดลงตัวกันได้ “เราทุกคนล้วนอยู่ในวังวนที่น่ากลัวของสหรัฐอเมริกา วงการนี้เราต้องการเห็นใครสักคนบาดเจ็บและพ่ายแพ้ มันเหมือนกับการที่คุณเข้าไปดูศึกสู้วัวกระทิงด้วยการตั้งความหวังว่าวันนี้มาทาดอร์จะไม่

ชนะ เขาจะโดนเจ้ากระทิงตัวยักษ์ขวิดจนไส้แตก” ซานเชซ ว่าถึงวงการมวยในมุมมองของเขา สิ่งที่ ซานเชซ พูดนั้นตีความได้อีกอย่าง คือนักชกที่จะแจ้งเกิดในยุคนี้ได้ ต้องเป็นคนที่แฟนมวยอยากจะเห็นเมื่อขึ้นไปอยู่บนเวที นักมวยประเภทเดินหน้าชก พร้อมแลกแบบไม่กลัวเจ็บตัว โดยมีผลแพ้ชนะเป็นเหตุผลรอง จะได้รับการสนับสนุนและจดจำมากกว่า.. ซานเชซ พบคุณสมบัตินี้ในตัวของ เกนนาดี้ โกลอฟกิ้น นักชกที่โรงยิมทั่วอเมริกาต้องการตัว “ย้อนกลับไปปี 2010 มีคน

พูดชื่อนักมวยคนนี้ (โกลอฟกิ้น) ให้เข้าหูผม ผมไม่เคยได้ยินชื่อนี้หรอก แต่พวกเขามาถึงโรงยิมของผมตอนบ่ายโมง และผู้จัดการของเขาส่งวีดีโอของโกลอฟกิ้นให้ผมดู … ผมนั่งลงและตั้งใจพิจารณา ตอนนั้นเขาพูดภาษาอังกฤษแทบไม่ได้ ผมก็พูดภาษารัสเซียได้นิดหน่อย ผมเลยบอกเขาได้เพียงว่า ถ้าเขาทำในสิ่งที่แตกต่างจากที่เคย หมอนี่จะกลายเป็นนักชกที่เก่งกว่าที่เคยเป็นได้ง่าย ๆ เลยนะ” ซานเชซ กล่าว ณ ตอนนั้น โกลอฟกิ้น พกดรีเหรียญเงินโอลิมปิกที่เอเธนส์

ปี 2004 และมีสถิติชกสมัครเล่นมากกว่า 350 ไฟต์ และแพ้เพียง 5 ครั้ง แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ ซานเชซ เห็นในตัวเขาเพียงอย่างเดียว สัญชาตญาณนักสู้คือสิ่งที่เขามองทะลุเข้าไปในตัว โกลอฟกิ้น มันคือสายตาแบบเดียวกับอดีตลูกศิษย์ของเขาที่เป็นแชมป์โลกอย่าง เทอร์รี่ นอร์ริส.. นั่นคือเหตุผลที่เขาอยากจะเป็นเทรนเนอร์ของ โกลอฟกิ้น ขึ้นมาทันที ทว่า ณ เวลานั้นผู้จัดการของ โกลอฟกิ้น ไม่ได้คุยกับ ซัมมิท ยิม เพียงแห่งเดียวเท่านั้น เขายังไปอีกหลายโรงยิมใน

อเมริกา เพื่อหาเทรนเนอร์ที่ดีและเหมาะสมกับนักมวยของเขามากที่สุด โดยมีเป้าหมายที่มองไปไกลถึงการเป็นแชมป์โลก ทว่าแม้จะไปมามากมายหลายแห่ง แต่สุดท้าย โกลอฟกิ้น ปลงใจกับ ซัมมิท ยิม แต่แรกแล้ว ยิมเล็ก ๆ ที่มอบความสงบให้กับเขา คือที่ที่เขามั่นใจว่าเหมาะสมที่สุด “ผมได้รับโทรศัพท์และพวกเขาบอกผมว่า คุณจะมารับ เกนนาดี้ ที่สนามบินได้ไหม ? ผมถึงกับหัวเราะกับตัวเองเลยทีเดียว เพราะเมื่อเขาเห็นยิมของผม เขาก็ตกหลุมรักแล้ว ยิมของผมมีความ

UFABETWINS

สันโดษและส่วนตัวมาก สภาพแวดล้อมรอบข้างก็เต็มไปด้วยหิมะเหมือนกับบ้านเกิดของเขา … ผมคิดว่าเขาเห็นที่นั่นเป็นบ้านและรู้ว่าทุกอย่างจะเป็นไปได้ดีแน่” ซานเชซ กล่าวต่อ ที่โรงยิมแห่งนี้เหมือนบ้านของ โกลอฟกิ้น ก็จริง มันทำให้เขาคิดถึงบ้านเกิดที่คาซัคสถาน แต่ที่ยิ่งกว่านั้นคือทุกครั้งที่เขาอยู่ภายใต้บรรยากาศที่สงบและล้อมรอบไปด้วยหิมะ เรื่องราวเก่า ๆ อันแสบเจ็บปวดที่กลายเป็นสิ่งผลักดันให้เขามาไกลจนทุกวันนี้ก็ย้อนกลับมาทักทายเสมอ..

โกลอฟกิ้น ยังจำวันนั้นได้ดี วันที่เขาโดนสั่งให้ไปชกมวยเพราะครอบครัวไม่เหลือที่พึ่งอะไรอีกแล้ว นอกจากความหวังในตัวลูกชายคนเล็กอย่างเขา
ไปชกมวยซะ! ย้อนกลับไปที่ การากันด้า หนึ่งในเมืองเล็ก ๆ ที่เป็นมุมอับของสหภาพโซเวียต ครอบครัวโกลอฟกิ้น มีชีวิตอย่างยากลำบากตามวิถีชีวิตของประชาชนในประเทศที่เป็นคอมมิวนิสต์ เมืองแห่งนี้เป็นศูนย์รวมของแรงงานในเมืองใหญ่ที่โดนเนรเทศ เกษตรกรตกยุคจากช่วงการปกครองของ

โจเซฟ สตาลิน พวกเขาอยู่รวมตัวกันกว่า 1 แสนหลังคาเรือนในที่แห่งนี้ พ่อของเขาเป็นชาวโซเวียตโดยกำเนิด ทำงานเป็นคนงานของเหมืองถ่านหินอันเป็นสถานที่สำคัญของ การากันด้า เหมืองถ่านหินแห่งนี้เต็มไปด้วยเครื่องจักรและเป็นเมืองอุตสาหกรรมเต็มรูปแบบ ดังนั้นไม่ว่าจะเด็ก, หนุ่ม หรือแก่ ในเมืองนี้ย่อมมีปลายทางที่คล้ายๆกัน คือทำงานเป็นคนเหมืองเพื่อหล่อเลี้ยงประเทศให้ยิ่งใหญ่นั่นเอง แม่ของเขาเป็นชาวเกาหลีใต้ที่ทำงานเป็นนักวิจัยในห้องแล็บ ทั้งสอง

คนมีลูกชายทั้งหมด 4 คนได้แก่ เซอร์เกย์ และ วาร์ดิม หลังจากนั้นก็มีลูกแฝดชาย ได้แก่ แม็กซ์ และ เกนนาดี้ “มีลูกมากจะยากจน” คำโบราณว่ากันเช่นนั้น แม้หลายครอบครัวในเมืองนี้จะยากลำบาก แต่ครอบครัวโกลอฟกิ้น ก็มีความสุขดีในชีวิตแต่ละวัน อย่างน้อยงานที่มั่นคงของพ่อและแม่ก็ทำให้ลูก ๆ ทั้ง 4 มีอาหารอยู่บนโต๊ะมื้อเย็นได้อิ่มท้อง นอกจากนี้ เซอร์เกย์ และ วาร์ดิม 2 พี่ชายคนโตนั้นกำลังอยู่ในช่วงวัยที่กำลังเติบโตเป็นหนุ่ม ทั้ง 2 คนเป็นนักมวยสมัครเล่นฝีมือดี

ประจำเมืองและมีอนาคตในวงการมวยที่รออยู่ ใน การากันด้า (คาซัคสถาน ณ ปัจจุบัน) มวยคือเส้นทางลัดของเด็กหนุ่ม หากไม่อยากเหนื่อยในเหมืองพวกเขาต้องยกระดับตัวเองให้เป็นนักชกที่เก่งกาจ ที่นั่นมวยเป็นที่นิยมเป็นอย่างมาก ไม่ว่าบ้านไหน ๆ ก็อยากให้ลูกเป็นนักมวยทั้งนั้น สำหรับบ้านของ โกลอฟกิ้น นั้นมี เซอร์เกย์ และ วาร์ดิม อยู่แล้ว เกนนาดี้ น้องชายคนเล็กจึงสามารถเลือกเส้นทางของตัวเองได้ เขาชอบเล่นฟุตบอล และอยากจะเป็นนักฟุตบอลมากกว่า ทว่าวัน

หนึ่งโลกของเด็กน้อยก็เปลี่ยนไป ที่โซเวียต ผู้ชายทุกคนต้องเข้าเกณฑ์ทหาร เนื่องจากต้องการยอดทหารเข้าประจำการในกองทัพราวปีละ 4 ล้านคน ดังนั้นเด็กหนุ่มคนใดที่อายุเข้าสู่วัย 18 ปี พวกเขาจะถูกเรียกตัวเข้าเป็นส่วนหนึ่งของกองทัพ ซึ่งเวลาของ เซอร์เกย์ และ วาร์ดิม ใกล้เข้ามาถึงทุกขณะ การได้เป็นทหารอาจจะมีข้อดี แต่สำหรับเด็กหนุ่มที่มีฝันและต้องการเดินต่อ อีกไม่กี่ก้าวก็จะได้เป็นนักมวยที่มีชื่อเสียง มันคือสิ่งที่พวกเขาเป็นกังวลใจ การออกไปสู้รบคือ

สถานการณ์ที่เป็นตายเท่ากัน และถ้าหากพวกเขาเกิดตายขึ้นมาล่ะ ? พรสวรรค์เรื่องมวยที่มีก็สูญเปล่า เงินที่ช่วยหาเลี้ยงดูครอบครัวในวันที่น้อง ๆ โตขึ้น และพ่อแม่ก็แก่ขึ้นทุกวัน ใครจะหาทดแทนในส่วนนั้น ? นั่นคือคำถามที่ เซอร์เกย์ และ วาร์ดิม ต้องหาคำตอบ ก่อนที่เขาจะเข้าสู่การรับใช้ชาติเต็มตัว “ไปหัดชกมวยซะ” พี่ชายที่โตกว่ามากเดินมาบอกกับ เกนนาดี้ เพื่อบอกให้รู้ว่า วัยแห่งความฝันของน้องชายจบลงแล้ว จงเลือกเส้นทางแห่งความจริง การเป็นนักมวยนั้นโด่ง

ดังและมีชื่อเสียงง่ายกว่าการเป็นนักฟุตบอลมาก ดังนั้น พวกเขาบังคับให้ เกนนาดี้ เลิกคิดจะเป็นนักฟุตบอลอาชีพโดยทันที “ผมเกลียดการชกมวยที่สุด ผมเล่นฟุตบอลของผมอยู่ดี ๆ มันก็เหมาะกับผมอยู่แล้ว ใครจะอยากขึ้นเวทีไปให้คนอื่นชกหน้ากัน ? ไม่มีทางหรอก” เกนนาดี้ โกลอฟกิ้น เล่ากับ Telegraph โปรดจงอย่าลืมว่านี่ไม่ใช่การขอร้อง แต่คือการบังคับ มันคือการเดิมพันปากท้องและอนาคตระยะยาวของครอบครัว แม้ เกนนาดี้ จะยังเด็ก แต่เขาก็โตพอที่จะรู้ว่าพี่ชาย

ทั้งสองคนพูดจริง เวลาจริงจังกับชีวิตมาถึงแล้ว “ผมไม่ปฎิเสธพวกเขา ผมได้แต่พยักหน้าและเข้าใจกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น” นั่นคือสิ่งที่เขาตอบ ช่วงปลายยุค 80s เซอร์เกย์ และ วาร์ดิม ลูกชายที่ครอบครัวโกลอฟกิ้นภูมิใจ ได้ตบเท้าเข้าเป็นพลทหารของกองทัพโซเวียต และค่อนข้างโชคร้ายที่สถานการณ์ ณ เวลานั้นตึงเครียดมาก เพราะการเมืองในประเทศเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ หลังจากการเข้ามาของ มิฮาอิล กอร์บาชอฟ ผู้ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำในปี 1985 ณ เวลานั้น

กอร์บาชอฟ เริ่มการปฏิรูปทางการเมืองหลายอย่างภายใต้นโยบายที่เรียกว่า กลาสนอสต์ ว่าด้วยการลดอำนาจคณะกรรมการความมั่นคงแห่งรัฐ (เคจีบี) ที่ดูแลเรื่องความมั่นคง, ตำรวจ, กองทัพ และชายแดนของประเทศ อีกทั้งยังเริ่มสร้างความเป็นประชาธิปไตย ซึ่งเรื่องนี้เองทำให้เกิดความแตกแยกระหว่างรัฐบาลและกลุ่มอนุรักษ์นิยมเกิดขึ้น สถานการณ์ดังกล่าวทำให้ประเทศต่าง ๆ ที่เคยเข้ากับ โซเวียต มาตั้งแต่ยุค โจเซฟ สตาลิน (1940) อย่าง เอสโตเนีย, ลัตเวีย, ลิทัวเนีย,

จอร์เจีย และ ยูเครน ใช้โอกาสเรียกร้องเสรีภาพของพวกเขาคืนมา ระหว่างการตกต่ำของโซเวียตทั้งด้านการปกครองและเศรษฐกิจนั่นเอง เศรษฐกิจส่งผลกับปากท้องของทุกครอบครัวโดยตรง ครอบครัวโกลอฟกิ้น ได้รับผลกระทบครั้งนี้เนื่องจากเหมืองที่พ่อของเขาทำงานถูกปิดตัวลง รายได้หดหาย อาหารบนโต๊ะก็ร่อยหรอ เหลือเพียงเงินจาก 2 พี่ชายที่ส่งกลับมาให้ใช้เท่าที่พอจะส่งได้ มันคือช่วงเวลาที่ยากลำบาก พวกเขาได้แต่รอให้เรื่องร้ายๆผ่านไปและกลับมาอยู่กัน

แบบครอบครัวอีกครั้ง ทว่าช่วงเวลาระหว่างที่ เซอร์เกย์ และ วาร์ดิม เป็นทหารในกองทัพ ภารกิจของพวกเขาทั้งหนักหนาและมากมาย โดนใช้สั่งไปรบ สั่งไปปราบจลาจล เท่าที่รัฐบาลจะบัญชา และสุดท้ายในปี 1990 พวกเขาก็พลาดจนได้ วันที่ผมต้องเป็นพี่ใหญ่ “เซอร์เกย์ และ วาดิม คือวีรบุรุษในสายตาของพวกเรา (คนในครอบครัว) พวกเขาเป็นสุดยอด พี่ชายผมยังจำได้ดี หลายครั้งที่เรานั่งอยู่ที่บ้านและดูการชกของนักมวยระดับโลกอย่าง มูฮัมหมัด อาลี, ชูการ์ เรย์ เลีย

วนาร์ด รวมถึงนักมวยสมัครเล่นดังๆในรัสเซีย” เกนนาดี้ เล่าถึงความทรงจำที่มีต่อพี่ชายผู้สั่งให้เขาเป็นนักมวย สำหรับเด็กคนหนึ่ง การมีพี่ชายเป็นฮีโร่นั้นคือสิ่งสำคัญ เกนนาดี้ นับวันรอให้ เซอร์เกย์ และ วาดิม กลับบ้าน เพื่อมาสอนการชกมวยแบบแชมป์ให้กับเขา ได้ดูโทรทัศน์ด้วยกัน และที่สำคัญคือให้พี่ชายทั้ง 2 กลับมาเป็นหลักของครอบครัวในยามที่เศรษฐกิจในโซเวียตแย่ลงทุกวัน กลางดึกคืนหนึ่ง รัฐบาลโซเวียตแจ้งข่าวมายังครอบครัวโกลอฟกิ้นว่า วาดิม พี่ชายคน

โต เสียชีวิตจากการปะทะกับกองกำลังชนกลุ่มน้อยและสาธารณรัฐเล็ก ๆ ในโซเวียต ที่เริ่มถูกปลุกความฮึกเหิมให้ลุกขึ้นสู้กับรัฐบาลกลาง นับตั้งแต่นโยบายลดความเข้มงวดในการควบคุมสื่อและความพยายามที่จะสร้างการเมืองที่เปิดกว้างมากขึ้น ที่โหดร้ายกว่านั้น เพราะนั่นเป็นคำอธิบายทั้งหมดที่รัฐบาลโซเวียตบอก ไม่มีใครรู้ว่าเขาตายเพราะอะไร ? แม้แต่ศพของ วาดิม ก็หาไม่เจอ.. ครอบครัวโกลอฟกิ้น ต้องฝังโลงศพเปล่า ๆ ของ วาดิม โดยที่ไม่มีศพของเขาอยู่ในนั้น และ

ถ้านั่นยังโหดร้ายไม่พอ อีก 4 ปีต่อมา เซอร์เกย์ พี่ชายคนที่ 2 ที่ถือว่าเป็นคนที่มีฝีมือด้านการชกมวยดีที่สุด ก็พบกับสถานการณ์ที่ไม่ต่างกับพี่ใหญ่ เขาเสียชีวิตแบบปริศนาอีกครั้ง ไร้ซึ่งคำอธิบาย ครอบครัวโกลอฟกิ้น ต้องฝังโลงเปล่าถึง 2 โลง ไม่มีการได้ร่ำลาครั้งสุดท้าย บนความเศร้าที่เกิดขึ้น เป็นช่วงเวลาเดียวกันกับที่ 2 แฝดจะต้องเข้มแข็งเพื่อทดแทนสิ่งที่หายไปพร้อมกับร่างกายพี่ชายของเขา แม็กซ์ และ เกนนาดี้ โกลอฟกิ้น พยักหน้ารับชะตากรรมที่จะเกิดขึ้น พวกเขา

จะต้องดูแลครอบครัวและสานฝันที่จะเป็นแชมป์โลกต่อจากพี่ชายผู้ล่วงลับของเขาเอง เกนนาดี้ เริ่มตั้งใจซ้อมมวยอย่างจริงจัง และมันน่าแปลกที่เขาพบว่า พอเขาเอาจริงขึ้นมา การชกมวยกลายเป็นเรื่องง่ายกว่าที่คิด ไม่มีใครในหมู่บ้านคนเหมืองจะเก่งกว่าเขาอีกแล้วในรุ่นอายุที่ห่างกันไม่เกิน 5 ปี หมัดของเขาเร็วและแรงเกินกว่าที่เด็กรุ่นเดียวกันจะต้านได้ และเขารู้ดีว่าเขาต้องใช้พรสวรรค์ที่มีให้เป็นประโยชน์ “ผมจำการซ้อมลงนวมครั้งแรกได้ดี คนเก่ง ๆ ยืนอยู่เต็มโรงยิมไป

หมด แต่ผมไม่เคยกลัวใคร ผมรู้ว่าผมแกร่งมาก มากพอที่จะคว่ำคนพวกนั้น และทำให้ผมได้เข้าเป็นนักมวยในสังกัดสโมสร” “แปลกไหม แต่ผมกลับพบว่ามวยมันเป็นอะไรที่ง่ายมากสำหรับผม เมื่อผมพยายามจะทำความเข้าใจกับการชกมวย ผมรู้ทันทีเลยว่าผมเก่งมากในตอนนั้น เมื่อขึ้นสังเวียน ผมรู้ว่าผมจะทำอะไรต่อไป และนั่นคือสิ่งที่ทำให้ผมมั่นใจว่าเส้นทางของผมถูกเปิดขึ้นแล้ว” พ่อมด เกนนาดี้ แม็กซ์ นั้นไม่มีพรสวรรค์และพัฒนาการทางด้านร่างกายเท่ากับ เกนนาดี้

แม้ทั้งคู่จะฝึกพร้อม ๆ กัน แต่เมื่อมาถึงจุดที่ต้องคัดตัวแทนของ คาซัคสถาน ไปแข่งโอลิมปิก พวกเขาทั้งคู่ชกในรุ่นน้ำหนักเดียวกัน ดังนั้นจะต้องมีคนหนึ่งที่ไม่ผ่านรอบคัดเลือก ซึ่งแน่นอนว่า แม็กซ์ รู้ตัวดีว่าน้องชายฝาแฝดของเขาพร้อมกว่า และมันก็เป็นเช่นนั้น เกนนาดี้ โกลอฟกิ้น คัดเลือกผ่านฉลุย ชนะทุกคนที่ขวางหน้าและกลายเป็นตัวแทนของ คาซัคสถาน ไปแข่ง เอเธนส์ เกมส์ ปี 2004 การไปแข่งโอลิมปิกของ โกลอฟกิ้น นั้นไปได้ไกลถึงรอบชิงเหรียญทอง ก่อนแพ้ให้

กับนักมวยจาก รัสเซีย อย่าง เกย์ดาเบ็ก เกย์ดาเยคอฟ และได้เหรียญเงินกลับมาเท่านั้น แต่สิ่งที่ทุกคนเห็นคือเด็กหนุ่มคนนี้อนาคตไกล หากเขาได้กลับมาอีกครั้งในโอลิมปิก 4 ปีข้างหน้า เขาจะต้องได้เหรียญทองอย่างแน่นอน เขากลายเป็นความหวังของชาวคาซัคสถานไปเรียบร้อย แม้จะต้องพ่ายแพ้กลับมาก็ตาม “หลังจากได้เหรียญเงินผม กลับมาที่ คาซัคสถาน และพบว่าผู้คนล้วนแต่จดจำผมได้ ผมถูกตั้งฉายาว่า ‘ปีศาจ’, ‘นักมายากล’ และอื่น ๆ อีกเยอะ ก่อนหน้านี้ทุก

คนไม่เห็นด้วยหรอกที่ผมเป็นตัวแทนของประเทศ พวกเขาบอกว่าผมตัวเล็กและผอมเกินไป แต่หลังจากกลับมาพร้อมเหรียญเงิน ทุกคนแน่ใจว่า โอเค ไอ้หมอนี่มันพิเศษกว่าคนอื่นจริง ๆ” โกลอฟกิ้น กล่าว สถิติของ โกลอฟกิ้น ในวงการมวยสมัครเล่นถือว่าเป็นปีศาจโดยแท้จริง เขาขึ้นชกทั้งหมด 350 ไฟต์ แพ้เพียง 5 ไฟต์ทั้งนั้น และใน 5 ไฟต์เป็นการแพ้คะแนนทั้งหมด ว่ากันว่านอกจากจะไม่เคยโดยน็อคเอาต์แล้ว หลังของเขายังไม่เคยแตะพื้นให้เสียนับเลยแม้แต่ครั้งเดียว

ตลอดการเป็นนักชกสมัครเล่น อย่างไรก็ตาม ความสุดยอดนั้นไม่ใช่ปลายทางที่เขาต้องการ และในทางเดียวกันมันเกือบจะเป็นจุดจบของอาชีพนักมวยของเขาเลยด้วยซ้ำ โกลอฟกิ้น ปราบมาหมดแล้วทั้ง รัสเซีย, ยูเครน เอเชีย ดังนั้นเขาอยากจะก้าวข้ามการเป็นนักชกสมัครเล่นเสียที แม้ว่าจะมีชื่อเสียงและพอหาเลี้ยงดูครอบครัวให้สบายได้ แต่เขาต้องการเทิร์นโปร เพียงแต่ว่ามีกฎหมายบางข้อในคาซัคสถานทำให้เขาไม่สามารถเป็นนักมวยอาชีพได้ “ผมชนะทุกคนในประเทศ

หรือนักชกอาชีพจากต่างประเทศ ผมไม่เคยแพ้ใครเลย แต่ผมกลับไม่สามารถเป็นนักมวยอาชีพได้ พวกเขาไม่อนุญาตให้ผมเทิร์นโปร ไม่ใช่ในคาซัคสถาน” สิ่งที่เหลือคือล่าฝันของพี่ชายผู้ล่วงลับอย่าง เซอร์เกย์ และ วาดิม ต่อไป แต่การโดนปิดกั้นโดยข้อกฎหมายทำให้ โกลอฟกิ้น เกือบจะแขวนนวมเลิกชกมวยแล้ว ทว่าฝีมือของเขาไปเข้าตา K2 โปรโมชั่น ของ 2 พี่น้อง วิตาลี่-วลาดิเมียร์ คลิตช์โก้ ตำนานนักมวยแชมป์โลกชาวยูเครน ที่ช่วยเติมเต็มความฝันด้วยการรับเขา

เข้าสังกัด และส่งเขาไปยัง แคลิฟอร์เนีย ในค่ายมวย ซัมมิท ยิม ของ อเบล ซานเชซ และกลายเป็นจุดเริ่มต้นความยิ่งใหญ่ของ เกนนาดี้ โกลอฟกี้น หรือ “GGG” ผู้เป็นแชมป์โลก มิดเดิลเวต 3 สถาบัน (WBA, WBC และ IBF) และครั้งหนึ่งเคยถูกเรียกว่านักชกที่ดีที่สุดในโลกหากเทียบกัน ปอนด์ ต่อ ปอนด์ อเบล และ ซัมมิท ยิม คือสถานที่ที่เปลี่ยนแปลงทุกอย่างในชีวิตของ โกลอฟกิ้น อย่างแท้จริง นอกจากจะได้เป็นแชมป์โลกแล้ว เขายังทำสัญญากับ DAZN มูลค่า

100 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ของนาฬิกาเจ้าดังอย่าง Hublot รวมถึง Air Jordan, Chivas Regal และ Tecate อีกด้วย และนั่นทำให้ เกนนาดี้ โกลอฟกิ้น สามารถทำทุกอย่างที่พี่ชายผู้ล่วงลับของเขาฝากฝังไว้ได้สำเร็จ ไม่ว่าจะเป็นการไปให้สุดทางในวงการมวย หรือการก้าวขึ้นมาดูแลครอบครัวให้สุขสบาย แม้ว่าจะต้องทำในสิ่งที่ตัวเองไม่ได้รัก และไม่ได้ชอบตั้งแต่แรกก็ตาม โกลอฟกิ้น ในวัย 38 ปี เล่าถึงเรื่องในอดีตภายหลังว่า สิ่งที่ทำให้เขาเลือกโรงยิม

UFABETWINS

ของ อเบล ซานเชซ แม้จะโดนเอเย่นต์ดัง ๆ ทาบทามเข้าค่ายมวย ก็เพราะที่นี่ทำให้เขานึกถึงบ้าน และที่สำคัญเมื่อได้คุยกับ อเบล ครั้งแรก เขายังรู้สึกว่าผู้ชายคนนี้เหมือนกับพี่ชายของเขาไม่มีผิด คน ๆ นี้คือคนที่พร้อมจะผลักดันเขาด้วยแพชชั่น ไม่ใช่ผลประโยชน์เหมือนกับค่ายอื่น ๆ “อเบล พูดรัสเซียไม่ค่อยได้ ผมก็พูดภาษาอังกฤษได้นิดหน่อย แต่เมื่อได้คุยกับเขา ผมรู้ทันทีว่าหมอนี่มันเหมือนกับ เซอร์เกย์ และ วาดิม ไม่มีผิด เขาคือคนประเภทเดียวกัน คนที่ผมจะไม่ปฎิเสธ

ไม่ว่าพวกเขาจะสั่งให้ผมทำอะไรก็ตาม ผมเชื่อมั่นในทุกการตัดสินใจเขา” โกลอฟกิ้น กล่าว โกลอฟกิ้น กลายเป็นนักชกที่มีชื่อเสียงได้ด้วยพรสวรรค์และแรงผลักดันจากคนข้างหลังอย่างปฎิเสธไม่ได้ แม้ทุกวันนี้เขาจะเสียแชมป์และสถิติไร้พ่ายไปเมื่อ 2 ปีก่อนให้กับ ซาอูล “คาเนโล่” อัลวาเรซ นักชกชาวเม็กซิกันแล้ว (แต่ก็สามารถกลับมาคว้าแชมป์โลก มิดเดิลเวต ของ IBF ได้อีกครั้ง) แต่ความจริงก็คือ เขาก็ประสบความสำเร็จมากพอจะเป็นหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์วงการ

มวยโลกอย่างแท้จริง ชีวิตไม่เคยง่ายกับใครทั้งนั้น โดยเฉพาะกับคนที่มีเป้าหมายและมีเหตุผลให้ต้องสู้ บางครั้งสิ่งที่เราชอบและสิ่งที่เราอยากทำก็เป็นเส้นขนานที่อาจจะไม่มีวันมาบรรจบกันได้ เพราะชีวิตผลักดันให้ต้องเดินหน้าต่อไปในเส้นทางอื่น แต่อย่างน้อยสำหรับใครที่เคยคิดว่าการไม่ได้ทำสิ่งที่ตนเองรักคือจุดจบ เราอยากให้คุณดู เกนนาดี้ โกลอฟกิ้น เป็นตัวอย่าง “เราทุกคนล้วนอยู่ในวังวนที่น่ากลัว ในวงการนี้เราต้องการเห็นใครสักคนบาดเจ็บและพ่ายแพ้ มัน

เหมือนกับการที่คุณเข้าไปดูศึกสู้วัวกระทิงด้วยการตั้งความหวังว่าวันนี้มาทาดอร์จะไม่ชนะ คุณอยากจะเห็นเขาจะเจ้ากระทิงตัวยักษ์ขวิดจนไส้แตก” คำพูดของ อเบล ซานเชซ เปรียบได้กับ ผู้แพ้และผู้ชนะในโลกแห่งชีวิตจริง เมื่อคุณก้าวออกไปสู้ มันมีโอกาสที่คุณจะแพ้ และในทางกลับกันหากมัวแต่กลัวจะกลายเป็นคนที่โดนกระทิงขวิดและซ่อนตัวในเงามืดไม่ให้ใครเห็น คุณจะไม่สามารถเป็นผู้ชนะได้อย่างแน่นอน ไม่ว่าจะเส้นทางตรง, ทางลัด หรือทางอ้อม ทุกเส้นทางล้วนมี

ความสำเร็จรออยู่บั้นปลายเสมอ สิ่งสำคัญอยู่ที่ว่าคุณพร้อมจะเต็มที่ในการออกเดินทางมากแค่ไหน สำหรับ โกลอฟกิ้น เขาพยามจนสุดความสามารถและไปถึงเส้นชัยได้สำเร็จ เขาทำให้คนที่อยู่ข้างหลังได้ภาคภูมิใจ และทำให้คนบนฟ้าได้พบกับสุคติที่แท้จริง เพราะชีวิตคือทางยาว อย่าเพิ่งตัดสินอะไรจากแค่ความเกลียดในครั้งแรก เมื่อได้ลองทำแล้วจงสู้และทุ่มเทกับมันให้เต็มที่ แล้วมาดูกันว่าผลลัพธ์ในท้ายที่สุดจะทำให้คุณได้ยิ้มเหมือนกับ เกนนาดี้ โกลอฟกิ้น หรือไม่